หลายคนอาจสงสัยว่า “การวางแผนทางการเงิน” ควรเริ่มต้นเมื่อไร และทำไมต้องวางแผนด้วย? คำตอบสั้น ๆ ก็คือ “เริ่มได้เลยตั้งแต่วันนี้” เพราะไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ คุณก็มี “เป้าหมายทางการเงิน” อยู่แล้ว เรามาลองทำความเข้าใจทีละขั้นตอนกัน
1. การวางแผนทางการเงินคืออะไร?
การวางแผนทางการเงิน คือ กระบวนการกำหนดเป้าหมายทางการเงินของคุณ และหาวิธีการที่เหมาะสมในการไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างเป็นระบบ เป้าหมายเหล่านี้อาจเป็นการออมเงินให้ได้ตามจำนวนที่ตั้งไว้ ภายในระยะเวลาหนึ่ง หรือเป็นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นในอนาคต การวางแผนที่ดีจะช่วยให้คุณรู้ว่า ต้องทำอะไร เมื่อไร และทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ชีวิตการเงินของคุณสะดุดหรือขาดสภาพคล่องในยามจำเป็น
2. เป้าหมายทางการเงินคืออะไร?
หลายคนมักเข้าใจว่า “เป้าหมายทางการเงิน” ต้องเป็นเรื่องใหญ่ ๆ เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ ลงทุนเพื่อเกษียณ หรือส่งลูกเรียนต่อต่างประเทศ แต่ที่จริงแล้ว เป้าหมายทางการเงินรวมไปถึงเรื่องเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันด้วย เช่น
• เป้าหมายในการออมเงิน: คุณอาจตั้งใจจะเก็บเงิน 10,000 บาทภายใน 6 เดือน เพื่อใช้เป็นเงินสำรองยามฉุกเฉิน
• เป้าหมายเรื่องรายได้: คุณอาจต้องการเพิ่มรายได้ต่อเดือนขึ้นอีก 5,000 บาท ด้วยการทำงานพิเศษ หรือพัฒนาทักษะเพื่อเลื่อนตำแหน่ง
• เป้าหมายค่าใช้จ่าย: แม้แค่การวางแผนว่า “มื้อต่อไปจะกินอะไร และจะใช้เงินเท่าไร” ก็ถือเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ หากคุณมองภาพรวมตลอดทั้งเดือนหรือทั้งปี ค่าใช้จ่ายที่ดูเล็กน้อยเหล่านี้ อาจสะสมจนกลายเป็นก้อนใหญ่ได้
3. ทุกคนมีเป้าหมายทางการเงินอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว
ลองสังเกตชีวิตประจำวันของคุณเอง เช่น คุณต้องใช้เงินซื้ออาหาร ซื้อตั๋วรถเมล์ จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือ หรือเก็บเงินไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาว ไม่ว่าคุณจะตั้งใจหรือไม่ เหตุการณ์เหล่านี้ก็คือ “เป้าหมายทางการเงิน” อย่างหนึ่ง คุณมีความต้องการและความจำเป็นที่ต้องใช้เงินเสมอ เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจไม่ได้เรียกสิ่งเหล่านั้นว่าเป็น “เป้าหมาย” และไม่ได้วางแผนเพื่อบรรลุให้เกิดความสบายทางการเงินในระยะยาว
4. เป้าหมายเล็ก ๆ ที่ถูกละเลยอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่
ค่าใช้จ่ายรายวัน เช่น ค่าอาหาร ค่ากาแฟ ค่าของใช้นิด ๆ หน่อย ๆ เมื่อบวกรวมกันตลอดทั้งปี อาจกลายเป็นเงินจำนวนมากอย่างคาดไม่ถึง หากคุณไม่เคยวางแผนหรือคำนวณล่วงหน้า คุณอาจพบว่าตัวเองใช้จ่ายเกินความจำเป็นและพลาดโอกาสในการออมเงินเพื่อเป้าหมายอื่น ๆ ที่มีความสำคัญมากกว่า เช่น เก็บเงินไว้สำหรับเหตุฉุกเฉิน หรือเก็บเพื่อซื้อทรัพย์สินที่เป็นประโยชน์ในอนาคต
5. เป้าหมายใหญ่ ๆ ที่ยากจะไปถึง หากไม่มีแผนรองรับ
ลองนึกถึงการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ เป้าหมายเหล่านี้ต้องใช้เงินจำนวนมาก หากคุณไม่มีแผนทางการเงินรองรับ คุณอาจไม่มีเงินพอที่จะทำให้ฝันเหล่านี้เป็นจริง หรืออาจต้องกู้เงินในเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม สร้างภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น การวางแผนทางการเงินจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวม เช่น รู้ว่าต้องออมเดือนละเท่าไร ต้องลงทุนแบบใดบ้าง และต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงจุดที่ต้องการ
6. เมื่อตระหนักแล้วว่าทุกคนมีเป้าหมายทางการเงินอยู่แล้ว ทำไมต้องรอ?
เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่าทุกคนต่างมีเป้าหมายทางการเงิน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สิ่งที่ควรทำต่อไปคือเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่วันนี้ เริ่มจากการสำรวจตนเองว่า คุณต้องการอะไรในอนาคตบ้าง ทั้งในระยะสั้น (เช่น ซื้อมือถือใหม่ปีนี้) ระยะกลาง (เช่น ดาวน์รถภายใน 3 ปี) และระยะยาว (เช่น เก็บเงินเพื่อเกษียณ) จากนั้น ลองร่างแผนการออมเงิน การลงทุน หรือการหารายได้เพิ่มเติม เพื่อให้ถึงเป้าหมายเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรม
สรุป
ไม่มีคำว่า “เร็วเกินไป” ในการเริ่มวางแผนทางการเงิน จริง ๆ แล้ว ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไร คุณยิ่งมีโอกาสควบคุมทิศทางการเงินของตัวเองได้มากขึ้น ไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤตทางการเงินก่อนแล้วค่อยลงมือทำ เพียงแค่รับรู้ว่าคุณมีเป้าหมายอยู่แล้ว และหาวิธีบริหารจัดการทางการเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายเหล่านั้น คุณก็สามารถเดินหน้าไปสู่ความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงินได้ตั้งแต่วันนี้
ในครั้งหน้า เราจะพาไปสำรวจเป้าหมายทางการเงินที่ควรให้ความสำคัญ แต่หลายคนอาจมองข้าม เพื่อช่วยให้คุณไม่พลาดการตั้งเป้าหมายที่สำคัญ และสามารถวางแผนรับมือได้ทันเวลา